สุขภาพ health ความสวย ความงาม beauty ความรัก lover แต่งหน้า makeup ความอ้วน diet ผู้หญิง women ผู้ชาย men story Horoscope ดวงชะตา ดูดวง

ลูกโป่งสิ่งมหัศจรรย์สาหรับเด็ก

ลูกโป่ง

ลูกโป่งสิ่งมหัศจรรย์สาหรับเด็ก


    พวกเขาสามารถเสกให้มีชีวิตขึ้นมาได้ด้วยการเป่า แค่สูดอาการที่ล่องลอยอยู่ทั่วไปเข้าไปในปอด แล้วคลอดออกมาทางปากเพื่อส่งเข้าไปในลูกโป่ง "โอม เพี้ยง!" เพียงแค่นั้นก็จะเติบโตเป็นลูกกลมโตจากที่เคยแฟบฟีบตัวลีบไม่น่าสนุก บางลูกอาจถูกปลุกให้มีชีวิต คิดจะลอยละล่องขึ้นไปทักทายก้อนเมฆหากถูกเสกด้วยก๊าซพิเศษที่มีน้ำหนักเบา

เพียงเท่านั้นลูกโป่งก็จะลอยเคว้งคว้างเท้งเต้งอยู่กลางเวหา

    ถ้าไม่อยากให้ลอยหลุดมือไป ก็ต้องผูกไว้ด้วยเชือกเส้นบางๆ พันเกี่ยวเหนี่ยวไว้กับร่างกายของเรา นิ้วน้อยๆ ค่อยๆ ห่อตัวเพื่อที่จะกำเชือกเส้นเล็กๆ ที่เชื่อมโยงกับของเล่นแห่งความฝันนั้นเอาไว้

จับให้แน่นอย่าให้หลุดมือ

    สำหรับเด็กเล็กพ่อแม่มักจะไม่ปล่อยให้พวกเขาดูแลของเล่นแห่งความฝันด้วยตัวเอง เพราะรู้ดีว่ากำมือของพวกเขายังไม่แข็งแรงเพียงพอที่จะเกาะกุมมันไว้ จึงใช้วิธีผูกเชือกบางๆ เส้นนั้นไว้กับข้อมือของเทวดาตัวน้อย เดินไปไหนก็จะมีลูกโป่งลอยไปข้างๆ เป็นเพื่อนเสมอ เป็นเพื่อนเกลอที่ทำให้ยิ้มออกมาได้ เพียงแค่ลอยไปลอยมา

    ทว่า ลูกโป่งก็ทำให้พวกเราร้องไห้ได้เช่นกัน ขณะที่กำลังสนุกกับมัน มีความสุขกับความมหัศจรรย์แห่งการล่องลอย และเพลิดเพลินกับการจับถือความฝันเอาไว้ในอุ้งมือ ในจังหวะนั้นเอง ถ้าเราเผลอทำของเล่นแห่งความฝันนี่หลุดมือไป ปล่อยให้ลอยเคว้งขึ้นไปสู่ท้องฟ้า สิ่งที่ตามมามักจะเป็นความเสียดาย ซึ่งบางรายก็กลาเป็นเสียงร้องไห้ และหยดน้ำตา เมื่อรู้ว่าลูกโป่งที่ลอยขึ้นฟ้าไปแล้วจะไม่มีวันหวนกลับมาอยู่ในอุ้งมือของเราได้อีกต่อไป

ลูกโป่งจึงเป็นสิ่งของสำคัญในวัยเยาว์ เพราะสอนให้เราเรียนรู้ถึงสัจธรรมข้อใหญ่ในชีวิต
นั่นคือการพลัดพลาก การลาจาก การสูญเสีย

    ในระหว่างนั้นมันยังกระซิบหลายสิ่งกับพวกเราตั้งแต่ยังเยาว์วัย บอกกับเราว่าสิ่งของสำคัญต้องดูแลให้ดีขณะที่มันยังอยู่กับเรา หลายสิ่งเมื่อได้จากไปแล้วย่อมมิอาจหวนคืนกลับมา จริงอยู่ที่ว่า เราสามารถออกตามหาลูกโป่งลูกใหม่ แต่ก็ไม่ใช่ลูกเดิม

ลูกโป่งเป็นตัวแทนที่ดีของความสัมพันธ์ และความฝันที่ต้องการการดูแล เปราะบาง แต่ทว่าสวยงาม

    ลูกโป่งจะสวยงามที่สุดเมื่อได้ออกมาสู่โลกใบกว้างลอยละล่องโดยมีแผ่นฟ้าเป็นฉากหลัง ใครกักขังลูกโป่งเอาไว้ในที่คับแคบย่อมมิอาจเล่นสนุก และมีความสุขกับมันได้อย่างเต็มที่

    เช่นกันกับความสัมพันธ์ ที่จะสวยงามเมื่อมีอิสระผูกโยงกันด้วยเส้นด้ายบางๆ มิใช่ผูกล่ามไว้ด้วยโซ่ตรวน
    เช่นกันกับความสัมพันธ์ ที่ต้องการความเอาใจใส่ไม่ปล่อยปละหรือละเลย

    สำหรับคนที่เคยละเลยปล่อยปละก็คงจะทราบเช่นเดียวกันว่า ความสำพันธ์นั้นย่อมลอยหลุดมือไป ไม่ต่างอะไรกับลูกโป่งที่ลอยขึ้นฟ้า

บางคนก็ไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าค่าตากันอีก...ตลอดไป

    เช่นกันกับความฝัน ที่จะสวยงามเมื่อได้เล่นสนุกกับมันในโลกใบกว้าง วิ่งเล่นได้อย่างไร้ข้อจำกัด และสิ่งหนึ่งที่ความฝันกับความสัมพันธ์เหมือนกัน นั่นก็คือ มันพร้อมจะจากเราไปหากไม่เกาะกุมไว้ให้ดี

    อีกหนึ่งสัจธรรมที่ลูกโป่งย้ำเตือนเราเสมอนั่นคือ "จงใช้เวลาอย่างมีค่าและเต็มที่ในขณะที่เรายังสามารถมีความสุขกับสิ่งนั้น" ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของอันแสนจะเปราะบางอย่างลูกโป่ง สัตว์เลี้ยงอันเป็นที่รักของเรา หรือผู้เฒ่าผู้แก่ พ่อแม่เคารพรัก สิ่งเหล่านั้นและพวกท่านก็ไม่ต่างอะไรกับลูกโป่ง เราผูกด้วยเชือกเส้นบางๆ ใครบ้างจะรู้ จู่ๆ วันหนึ่งลมอาจพัดแรง เชือกอาจขาดเราอาจต้องพรากจากกัน ในห้วงเวลานั้นเราคงเสียดาย ถ้าเพิ่งคิดได้ในวินาทีสุดท้ายว่า เราน่าจะทำได้ดีกว่านี้ ในตอนที่ยังอยู่ด้วยกัน

    ต่อให้ดูแลกันและกันอย่างดีที่สุด ไม่ว่าลูกโป่งลูกไหนก็ย่อมมีวันสุดท้ายของมัน วันที่ลูกโป่งหมดลม ลูกโป่งเหี่ยวแห้ง ไร้เรี่ยวแรงอีกต่อไป

    เมื่อวันนั้นเดินทางมาถึง สิ่งที่เหลืออยู่คือความทรงจำอันมีค่าที่เรากับลูกโป่งนั่นเคยมีร่วมกันมา ทั้งน้ำตาและเสียงหัวเราะ

ไม่มีลูกโป่งลูกใดจะอยู่กับเราไปตลอดกาล

    ในช่วงเวลาไม่นาน ก่อนที่จะหลุดลอยไป ก่อนที่จะหมดลมหายใจ เราได้ใช้เวลากับลูกโป่งอันแสนจะเปราะบางอย่างไรบ้าง

    เมื่อวันสุดท้ายเดินทางมาถึง เราจะยิ้มพรายกับความทรงจำที่ดีๆ หรือจะตีอกชกหัวที่เรามัวแต่ปล่อยปละละเลย

    ลูกโป่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์สำหรับเด็ก ความสัมพันธ์เป็นสิ่งมหัศจรรย์สำหรับผู้ใหญ่ เราผูกโยงกันไว้ด้วยเส้นใยบางๆ

ซึ่งเปราะบางเหลือเกิน



Thanks by นิ้วกลม




เด็กชายมอมแมม
เร่ร่อนรอนแรม..........วิ่งไล่ไขว่คว้า
หวังเพียงวันหนึ่ง........ได้ลูกโป่งมา
เชิดหน้าชูตา.............เทียบเทียมใครๆ

ลูกโป่งลอยมา
เด็กน้อยถลา.............เอื้อมมือคว้าไขว่
ลูกโป่งลอยหนี...........ละลิ่วปลิวไกล
เด็กน้อยเสียใจ..........ได้แต่มองตาม

ลูกโป่งหลายใบ
เด็กคนหนึ่งถือไว้.........จึงเข้าไปถาม
“ได้มาจากไหน?.........ใบใหญ่งดงาม”
เด็กน้อยเอ่ยถาม.........วาดหวังในใจ

“พ่อแม่ให้มา
ไม่ต้องเสาะหา............เตรียมมาให้ไว้”
เด็กคนนั้นตอบ............อมยิ้มละไม
เด็กน้อยเศร้าใจ..........ร่ำไห้ลำพัง

อีกใบลอยมา
สายลมพัดพา..............เชือกยุ่งรุงรัง
ติดกิ่งไม้ใหญ่..............เด็กน้อยวาดหวัง
ลองอีกสักครั้ง..............อาจสมดังใจ

สูงสุดสายตา
ป่ายปีนหวังคว้า ...........เอามาให้ได้
พอถึงกลางต้น.............พลัดตกต้นไม้
ลูกโป่งกวัดไกว............ปลิวไปตามลม

เด็กน้อยร้องไห้
น้ำตารินไหล................ด้วยความขื่นขม
ก้มมองรอยแผล...........เจ็บปวดระบม
โอกาสสุขสม................ลอยล่องหลุดไป

วันหนึ่งสมหวัง
ได้ลูกโป่งดัง................ที่ตั้งใจไว้
เดินถือเริงร่า...............ยิ้มมาแต่ไกล
อวดใครต่อใคร............หวังให้คนมอง

ความสวยมายา
ห่อหุ้มฉาบทา.............จึงหลงครอบครอง
เวลาผันผ่าน...............สีหวานกลับหมอง
ลมที่เคยพอง..............กลับแฟ่บเหี่ยวไป

เด็กน้อยยืนนิ่ง
มองเห็นความจริง..........มึนงงสงสัย
ลูกโป่งสีหวาน.............กลวงว่างภายใน
แล้วเหตุไฉน...............คนใคร่ครอบครอง

รูปแบบการประพันธ์ : กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘
ผู้แต่ง : หนุงหนิง
ภาพประกอบ : อัมโปะ

เขาจะกลับไปหาถ่านไฟเก่าไหม ดูได้จากเดือนเกิด

เขาจะกลับไปหาถ่านไฟเก่าไหม ดูได้จากเดือนเกิด


ถ่านไฟเก่า
    ความกังวลอย่างหนึ่งของคนมีแฟน คือกลัวว่าถ้าวันหนึ่งแฟนเก่าจองเขากลับมาขอคืนดี เขาจะใจอ่อนยอมให้ถ่านไฟเก่าคุกรุ่นขึ้นมาอีก แฟนคุณจะเป็นแบบนั้นด้วยหรือเปล่า เดือนเกิดของเขาบอกคุณได้ค่ะ

ผู้ชายเดือนมกราคม
    ใครได้หนุ่มที่เกิดเดือนนี้เป็้นแฟนอาจสติแตกวันละสามเวลาหลังอาหาร เพราะผู้ชายเดือนมกราคมมีนิสัยชอบเอาแฟนเก่ามาเปรียบเทียบกับแฟนใหม่ คนไหนดูแลเขาได้ดี สามารถทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นเจ้าชาย ที่มีข้าทาสบริวาณรับใช้สะดวกสบายทุกอย่าง เขาก็จะเทิดทูนสรรเสริญจนแทบสะสร้างอนุสาวรีย์ให้เลยทีเดียว แต่ใครที่เทคแคร์เขาแบบลูกเมียน้อย ทิ้งๆ ขว้างๆ ไม่ค่อยสนใจ เป็นต้องถูกเขากระแหนะกระแหนไม่รู้จบ วิธีเดียวที่คุณจะสู้แฟนเก่าได้ คือต้องเอาใจเขาอย่างดีเยี่ยม ชนิดที่เขาไม่มีทางได้จากผู้หญิงอื่น นั่นล่ะ คุณถึงจะผูกใจเขาได้อยู่หมัด

ผู้ชายเดือนกุมภาพันธ์
    หนุ่มคนนี้อุส่าห์เลือกเกิดในเดือนแห่งความรัก ก็แสดงว่าเขาเป็นพวกบอร์นทูบี ตั้งใจเกิดมาเจ้าชู้โดยเฉพาะ การแสดงออกของเขาเลยจะเป็นแบบปิ๊งเรี่ยราด หวานกับสาวๆ ได้ไม่จำกัดเพศและวัย แม้แต่อดีตคนรักเขาก็ตาม ไปโรยน้ำตาลถี่ยิบ จนอีกฝ่ายหลงเข้าใจผิดว่าเขายังรักยังคิดถึงอยู่ อยากรีเทิร์นกลับมาหา คนที่มีแฟนเกิดเดือนนี้เลยมักจะต้องสู้รบกับการตามตื้อของแฟนเก่าชนิดหนักหนาสาหัส แต่จะโทษถ่านไฟเก่าคนเดียวคงไม่ได้ ก็แฟนคุณให้ความหวังเหลือเกินนี่นา

ผู้ชายเดือนมีนาคม
    หนุ่มราศีมีนเป็นผู้ชายอ่อนไหว รักใครแล้วมักจะลืมไม่ลง แม้ตอนเลิกกันจะถูกเธอกระทำย่ำยีราวกับพรมเช็ดเท้า เขาก็ไม่รู้จักจำ ฉะนั้นถ้าถ่านไฟเก่าของเขาติดไฟขึ้นมา คุณก็ต้องเจองานเข้าครั้งยิ่งใหญ่ ยิ่งถ้ายายถ่านก้อนนั้นมีพรสวรรค์ในการสตรอเบอร์รี่ระดับตัวแม่สามารถดราม่าบีบน้ำหูน้ำตาได้เหมือนเป็นนางเอกละคร แฟนคุณจะหมดแรงต้านทานทันที เพราะผู้ชายคนนี้มีอารมณ์อยู่เหนือเหตุผล ความรักอยู่เหนือความถูกต้อง วิธีเดียวที่คุณจะเก็บเขาไว้เป็นของตัวเองต่อไป คืออย่าให้เขาได้เจอกับแฟนเก่าในระยะประชิดเป็นอันขาด ผู้หญิงคนนั้นจะได้หมดโอกาสสร้างเลิฟซีนกระตุ้นอารมณ์อ่อนไหวของแฟนคุณ

ผู้ชายเดือนเมษายน
    หนุ่มคนนี้ถือคติว่าลูกผู้ชายตัวจริงต้องไม่บอกเลิกก่อน เวลาจะชิ่งหนีผู้หญิงคนไหนเขาก็เลยไม่บอกตรงๆ แต่จะใช้วิธีเอางานมาบังหน้า งานยุ่งมันทั้งปีทั้งชาติ จนแฟนทนไม่ไหวจนต้องเซย์กู๊ดบายไปเอง นั่นล่ะคือการเลิกในแบบของเขา เมื่อตัดกันแบบอ้ำๆ อึ้งๆ เหมือนยังเหลือเยื่อใยอย่างนี้ ถ่านไฟเก่าของเขาจึงกลับมาปะทุใหม่ได้ตลอดเวลาเพราะผู้หญิงคนนั้นไม่รู้ว่าเขาต้องการจะเลิก เธอก็เลยพร้อมจะรีเทิร์นกลับมาหาเขาได้ทุกเมื่อ ขอแค่คนพร้อม ใจพร้อม สถานที่อำนวยเท่านั้นล่ะ

ผู้ชายเดือนพฤษภาคม
    การปิ๊งรักกับหนุ่มเดือนพฤษภามีข้อดีตรงที่หมดห่วงเรื่องถ่านไฟเก่าได้เลย ไม่ใช่ว่าเขาจะตบะแข็งจนไม่หวั่นไหวกับความอึ๋มหรอกนะ แต่เป็นเพราะยายแฟนเก่าไม่คิดจะเอาเขากลับไปให้เกะกะลูกตาแล้วต่างหาก ก็ก่อนที่จะเลิกกันน่ะ เธอต้องทนกับนิสัยหัวแข็ง เอาแต่ใจ บ้าอำนาจ ชอบบงการ ควบคุมไปทุกเรื่องของเขา จนแทบจะสติแตก เข็ดกับผู้ชายไปพักใหญ่เลยทีเดียว จบกันอนาถขนาดนี้แล้วมีหรือที่ผู้หญิงคนนั้นจะรีเทิร์นมาแย่งเขากลับไป

ผู้ชายเดือนมิถุนายน
    หนุ่มเจ้าสเน่ห์คนนี้เป็นภัยต่อชีวิต เป็นพิษต่อหัวใจของสาวๆ แทบทุกคน ไม่เฉพาะกับแฟนเก่าที่เลิกกันไปแล้วอย่างเดียวหรอกนะ ขอแค่ให้เป็นผู้หญิงก็มีโอกาสจะเป็นมารหัวใจคุณได้ทั้งนั้น เพราะเขามีเสน่ห์ร้อนแรงแบบผู้ชายอบอุ่น เป็นพี่ชายที่แสนดี เป็นเพื่อนที่เข้าใจ คนแบบนี้ไปที่ไหนก็สร้างความประทับใจให้ผู้หญิงได้ทุกเมื่อ ถ้าคุณจะคบเขาต้องเชื่อใจกัน ว่าเขาแค่ทำดีกับคนอื่นไปตามความเคยชิน แต่คนที่พิเศษจริงๆ คือคุณคนเดียวเท่านั้น

ผู้ชายเดือนกรกฎาคม
    นี่คือหนุ่มี่สาวๆ สบายใจได้เลยว่า ไม่มีวันที่จะหวนไปซบอกถ่านไฟเก่าอีกแล้วในชาตินี้ เพราะลูกผู้ชายเย็นชา เอาแต่ใจ มีโลกส่วนตัวสูงอย่างเขา พูดคำไหนคำนั้น บอกว่าเลิกก็คือเลิก และถ้าสมองอดีตคนรักเก่าของเขายังปกติดี ไม่ได้ความจำเสื่อม เธอก็คงไม่กลับมาหาเขาเหมือนกัน เนื่องจากตอนจะเลิกกันนั้นน่ะ แฟนคุณทำตัวชั่วร้ายกับเธอไว้สุดๆ ตามประสาคนที่พอรักก็หวานจี๋จ๋า แต่พอเบื่อก็โยนทิ้งแบบไม่สนใจใยดี จนแฟนเก่าแทบจะต้องไปจุดธูปจุดเทียนสาบานหน้าพระพุทธรูปว่า อย่าว่าแต่ชาตินี้เลย ต่อให้ชาติหน้าก็ไม่ขอกลับมาเจอกับผู้ชายคนนี้

ผู้ชายเดือนสิงหาคม
    หนุ่มราศีสิงห์เป็นผู้ชายประเภทหลั่งเลือดไม่หลั่งน้ำตา ฆ่าได้หยามไม่ได้ เขาเลยมักจะไม่ค่อยยอมกลับไปหาอะไรเก่าๆ โดยเฉพาะผู้หญิงที่เป็นแฟนเก่า เพราะมันทำให้เขารู้สึกเสียศักดิ์ศรี เหมือนคนไม่มีเสน่ห์ หาผู้หญิงอื่นไม่ได้แล้วถึงต้องกลับไปคืนดีกับคนรักเก่า คุณสบายใจได้ว่าต่อให้ผู้หญิงคนนั้นกลับมาทอดสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กให้เดิน อย่างมากเขาก็เล่นด้วยนิดๆ หน่อยๆ แต่เรื่องที่จะกลับไปคบจริงจังนั้น ลืมไปได้เลย

ผู้ชายเดือนกันยายน
    ถ้าคุณเคยสงสัยว่าโลกใบนี้ยังมีสุภาพบุรุษเหลืออยู่หรือเปล่า ผู้ชายราศีกันย์คือคำตอบ ด้วยความที่เป็นคนมีน้ำใจ เขาก็เลยไม่เคยทอดทิ้งอดีตคนรักคนไหนให้ตกระกำลำบากอยู่คนเดียวตราบใดที่ผู้หญิงคนนั้นยังไม่มีคนมาดูแล หรือถึงจะมีแล้วแต่ถ้าเธอโทรมาขอความช่วยเหลือเขาก็พร้อมจะรีบออกไปบริการทั้งในและนอกสถานที่ตลอด 24 ชั่วโมง ก็ขึ้นอยู่กับแฟนเก่าของเขาด้วยว่าจะมีคุณธรรม หรือชอบฉกแฟนชาวบ้าน ถ้าเธอไม่คิดอะไรก็ดีไป แต่ถ้าเธอเกิดร้ายขึ้นมา คุณคงต้องเหนื่อยมากถึงมากที่สุดกว่าจะฟาดฟันหล่อนให้แตกกระเจิงได้ เพราะผู้ชายนิสัยดีแบบนี้มักไม่ค่อยรอดเงื้อมมือถ่านไฟเก่าเสียด้วยสิ เฮ้อ!

ผู้ชายเดือนตุลาคม
    หนุ่มคนนี้เป็นตัวอย่างของภาษิตที่ว่า "คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ" สาวๆ ที่เชื่อลุคส์ซื่อๆ ไม่มีพิษมีภัยของเขาจึงต้องน้ำตาเช้ดหัวเข่ามานักต่อนักแล้ว เพราะหนุ่มราศีตุลย์เป็นพวกภายนอกกับภายในต่างกันสุดขั้ว ข้างนอกดูอินโนเซ้นต์แต่เข้างในเจ้าชู้เงียบ ถนัดหยอดลูกจีบแบบทีเล่นทีจริงจนสาวๆ เคลิ้มหลงรักโดยไม่รู้ตัว แต่พอคบจนเบื่อ เขาก็จะมั่วนิ่มไปว่าเราเป็นแค่พี่น้องกัน ที่มาทำด้วยนี่ทำไปตามหน้าที่พี่น้องร่วมโลกเท่านั้นเอง!! ก็เพราะเจ้าเล่ห์อย่างนี้ไง เขาถึงมีถ่านไฟเก่าที่รอวันชำระแค้นอยู่เพียบ แต่คนที่ยังไม่รู้จักโฉมหน้าที่แท้จริง อยากจะเข้ามาเสียบตำแหน่งแฟนแทนคุณก็มีไม่น้อย คุณจึงควรเช็คพฤติกรรมให้ดีๆ เพราะไม่แน่ว่านาทีนี้เขาอาจกำลังดี๊ด๊ากับสาวคนไหนอยู่ก็ได้

ผู้ชายเดือนพฤศจิกายน
    นิสัยใจคอของผู้ชายเดือนนี้ เป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง เข้าถึงยาก เอาแต่ใจ และไม่ค่อยจะแคร์ความรู้สึกของใคร ถ้าใครเคยเป็นแฟนเขามาแล้ว ส่วนใหญ่จะไม่อยากกลับมารับกรรมรอบสอง ถ้าคุณกำลังห่วงว่าถ่านก้อนที่แล้วของเขาจะปะทุขึ้นมาล่ะก็ เลิกคิดได้เลย เอาเวลามาวางแผนว่าจะทำอย่างไร ความรักของคุณกับเขาจะแจ้งเกิดเบิกบานได้มากกว่านี้จะดีกว่า เพราะไอ้ที่ทนอยู่ด้วยกันทุกวันนี้ ก็ทำคุณปวดหัวจะแย่อยู่แล้วไม่ใช่หรือ

ผู้ชายเดือนธันวาคม
    เอกลักษณ์ของหนุ่มที่เกิดเดือนธันวาคมคือ ความรักอิสระ ทำอะไรตามใจตัวเอง ไม่ยอมถูกผูกมัด ถ้าเขาคิดจะคบกับใคร ต่อให้เอาช้างทั้งโขลงมาช่วยกันฉุดก็ไม่อยู่ แต่เมื่อไรที่เขาบอกว่าพอแล้ว ไม่ว่าใครก็รั้งตัวและหัวใจเขาไม่ได้ ฉะนั้นถ้าเขาคิดจะกลับไปหาแฟนเก่า แฟนคนปัจจุบันอย่างคุณก็ทำอะไรไม่ได้หรอก นอกจากจะปล่อยให้เขาไปหาคนที่เขาเลือกเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าจะไม่ไป คุณก็เชื่อคำพูดเขาได้ เพราะคนๆ นี้ไม่คิดจะโกหกใครให้เสียศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย

คุณมีกุญแจกี่ดอก

คุณมีกุญแจกี่ดอก


กุญแจ
    ผมมีกุญแจอยู่ 3 ดอก หนึ่งคือกุญแจห้อง สองกุญแจรถ และดอกสุดท้ายคือกุญแจสำหรับไขที่ล็อกเกียร์ นี่เฉพาะกุญแจที่ผมพกติดตัว พอใขกุญแจเข้าไปในห้องก็ยังมีกุญแจลิ้นชัก กุญแจตู้ซึ่งล็อกเพื่อเก็บรักษาของสำคัญเอาไว้ แปลกดีที่ผมไม่มีกุญแจบ้าน เพราะเวลากลับบ้าน แค่โทร.บอกคุณแม่ก่อนที่จะขับรถไปถึง ประตูบ้านก็จะเปิดอ้าซ่ารออยู่เสมอ..

ดูเหมือนว่าบางอย่างเราต้องการกุญแจ แต่บางอย่างนั้นไม่จำเป็นต้องมี

    กุญแจทำงานกับล็อกเสมอ เมื่อมีกุญแจก็มีย่อมมีล็อก กุญแจที่ไม่มีล็อกนั้นไม่ต่างอะไรกับของเหลือใช้ไร้คุณค่า เป็นแค่เศษเหล็กเล็กๆ ที่ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ขณะที่กุญแจที่เปิดล็อกได้นั้นมีความสำคัญมหาศาล หากอย่างรู้ว่ามันสำคัญแค่ไหนอาจต้องลองทำมันหายดูสักครั้ง

กุญแจดอกเล็กๆ หมายความถึงคำอนุญาตให้เราผ่านเข้าไปในบ้านหรือไม่ ให้เราสตาร์ทรถได้หรือเปล่า หากคืนไหนไม่มีกุญแจบ้าน ชีวิตคืนนั้นก็คงไม่ต่างอะไรกับคนไร้บ้าน มีรถแต่ไม่มีกุญแจรถ รถก็เป็นแค่กองเหล็กหนักๆ ที่มีล้อแค่เคลื่อนที่ไปไหนไม่ได้

ว่าแต่.. ทำไมเราจึงต้องทำล็อกและกุญแจสำหรับบางสิ่งด้วยล่ะ?

สิ่งที่จำเป็นต้องมีกุญแจทั้งหลายล้วนเป็นสิ่งมีค่า มีความสำคัญ และเสี่ยงต่อการถูกขโมย เราจึงต้องกั้นมันออกจากโลกใบใหญ่ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ใครก็เข้าถึงได้ให้มันไปอยู่ในโลกอีกใบหนึ่ง โลกของเรา โลกของเจ้าของกุญแจ ในโลกใบนั้นมีแต่ผู้มีกุญแจเท่านั้นที่จะเข้าไปได้ คนอื่นๆ ที่หายใจอยู่ในโลกในเดียวกันนั้นไม่มีวันก้าวเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้ว่าบ้านของเราหรือห้องของเราจะตั้งอยู่บนโลกที่มีคนจำนวน 6 พันล้านคน แต่มีเพียงไม่กี่คนหรอกที่จะได้เข้าไปในห้องของเรา ซึ่งจริงๆ แล้ว สิ่งสำคัญที่กั้นเขาเอาไว้ระหว่างโลกใบนั้นกับโลกของเรา ก็เคือเหล็กแบนๆ ที่มีรอยหยักไปหยักมาที่เราเรียกมันว่า "กุญแจ" นี่เอง

    กุญแจจึงมาพร้อมกับความเป็นเจ้าของ ใครไม่มีกุญแจก็ไม่มีโอกาสได้ใช้ของสิ่งนั้น หรือได้เข้าไปในพื้นที่แห่งนั้น แม้ว่าของชิ้นนั้นหรือห้องห้องนั้นจะอยู่ตรงหน้าก็ตามที แต่กุญแจที่จะไขล็อกหนึ่งล็อกนั้นไม่ได้มีเพียงแค่ดอกเดียว เราสามารถปั๊มกุญแจได้ เมื่อปั๊มแล้วเราจะส่งกุญแจดอกนั้นให้ใคร? ใครที่เราไว้ใจมากพอ?

การยื่นกุญแจให้เป็นสัญลักษณ์ว่า "ยินดีต้อนรับสู่โลกของฉัน" นั่นเป็นความพิเศษหากระดับความไว้วางใจเท่าๆ กัน เมื่อเราหยิบยื่นกุญแจให้ใครสักคน เขาคนนั้นก็มักจะยื่นกุญแจของเขาให้เราเช่นกัน โลก 2 ใบที่เคยมีล็อกกั้นขวางเอาไว้ก็กลายเป็นไร้ล็อก เพราะทั้ง 2 คนต่างถือกุญแจของกันและกัน

    กุญแจบอกกับเราว่าโลกใบนี้มีคนไม่น่าไว้วางใจมากมาย และเราคงเปิดประตูต้อนรับทุกคนเข้ามาสู่พื้นที่ส่วนตัวของเราไม่ได้ มันอันตรายเกินไป แต่การถือกุญแจห้องหรือกุญแจบ้านเอาไว้เพียงผู้เดียวก็อาจทำให้ห้องแห้งเหี่ยวหรือบ้านหลังนั้นเงียบเหงาเกินไปสักหน่อย เมื่อมีคนที่เราไว้ใจจึงควรไขล็อกให้เขาได้เข้ามาในโลกของเราบ้าง และถ้ารู้จักกันมากขึ้นจนเริ่มไว้ใจ ก็ไม่แปลกอะไรที่จะปั๊มกุญแจให้เขาสัก 1 ดอก

    ในทางกลับกัน กุญแจยังบอกกับเราด้วยว่า ทุกคนต่างมีพื้นที่ส่วนตัวของเขา เราไม่ควรไปรุกล้ำในส่วนที่เขาล็อกกุญแจเอาไว้ ไม่ควรพยายามสะเดาะล็อก เพราะถ้าเขาล็อกเอาไว้นั่นแปลว่าเขาไม่อยากให้ใครเข้าไปยุ่มย่าม เราควรเคารพพื้นที่ส่วนตัวของกันและกัน ไม่อย่างนั้นโลกนี้จะมีกุญแจเอาไว้ทำไม

    เราเองก็เช่นกันนี่นา ถ้ามีสิ่งสำคัญที่อยากเก็บไว้ให้พ้นสายตาผู้คนก็ล็อกเก็บมันเอาไว้ได้ ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยทุกสิ่งให้ทุกคนรู้ กระทั่งคนที่เรามอบกุญแจห้องให้เขาไป ก็อาจมีลิ้นชักบางลิ้นชักที่เราอยากล็อกเอาไว้บ้างเหมือนกัน คนเราน่าจะมีพื้นที่หนึ่งซึ่งเราถือกุญแจไว้เพียงผู้เดียว

    นอกจากนั้นกุญแจยังบอกกับเราอีกว่า "กุญแจที่ไม่ใช่ ไขอย่างไรก็ไม่ออก" การปลดล็อกเปิดประตูเข้าไปในโลกของใครสักคนไม่ควรอาศัยความพยายาม ต่อให้มีกุญแจผี เจ้าของบ้านก็ไม่ยินดีต้อนรับ การปลดล็อกทางเข้าโลกใบนั้นให้ปล่อยเป็นหน้าที่ของเจ้าของบ้าน ผู้มาเยี่ยมอย่างเราทำได้เพียงกดกริ่ง หากเจ้าของบ้านยินดี เขาก็จะไขกุญแจให้เราเข้าไปเอง

    ตอนเด็กๆ เราไม่มีกุญแจ จำนวนกุญแจจะเพิ่มขึ้นตามวัย เพราะเรามีสิ่งสำคัญที่ต้องเก็บรักษามากขึ้น และเราเริ่มรู้ว่า "ไม่ใช่ทุกคนในโลกที่น่าไว้ใจ" เมื่อเป็นผู้ใหญ่เราจึงมีพวงกุญแจ กุญแจเป็นสิ่งของชิ้นเล็กๆ ในชีวิต แต่มันสามารถไขเข้าไปสู่สิ่งที่สำคัญที่สุดได้

หากได้กุญแจจากใครมา จึงควรรักษาไว้ให้ดี



Thanks by นิ้วกลม

ชีวิตหนึ่ง คนเราจะมีรองเท้าสักที่คู่กัน

ชีวิตหนึ่ง คนเราจะมีรองเท้าสักที่คู่กัน?


รองเท้า
    บางคนอาจมีมาก บางคนอาจมีน้อย แต่ต่อให้มีเป็นร้อยก็ย่อมมีรองเท้าที่ใส่อยู่บ่อยๆ แค่ไม่กี่คู่เท่านั้น ส่วนคู่ที่มีไว้แต่ไม่ได้ใส่บ่อยนัก เรามักจะมีมันไว้เพื่อใส่เอาใจคนอื่น ใส่ออกงานเพื่อความงามแม้เดินลำบาก ใส่ออกเดทในวันแรกๆ ที่เจอกัน ใส่ไปประชุมเพื่อความสุภาพ และใส่ไปนู่นมานี่ในสถานที่ที่เราไม่ใช่คนกำหนดเกม

    รองเท้าเป็นหนึ่งในเครื่องแต่งกายที่บ่งบอกถึงระดับความสุภาพของผู้ส่วมใส่ ความสุภาพจากการแต่งกายอาจเป็นเรื่องสมมุติ แต่มนุษย์ในสังคมต่างให้ความสำคัญ ชายหนุ่มจึงจำเป็นต้องมีรองเท้าหนังมันวาว หญิงสาวจึงต้องมีส้นสูงคู่สวยติดตู้เอาไว้ด้วยในโอกาสที่ต้องออกไปเผชิญกับสายตาอีกหลายร้อยคู่

    บ่อยครั้งที่เราใส่รองเท้าความความคาดหวังของสังคม ใส่รองเท้าตามที่เขาว่ากันว่าดี ว่ากันว่าเหมาะสมสวยงาม น้อยครั้งที่เราถามตัวเองว่า แท้จริงแล้วฉันอยากใส่รองเท้าอะไร

    ตั้งแต่เมื่อครั้งเรายังเป็นเด็ก เท้าเล็กเท่าฝาหอย มีพ่อแม่คอยใส่รองเท้าให้ ในตอนนั้นเรายังไม่มีปัญญาคลานไปที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อเลือกรองเท่าคู่ที่ถูกใจได้ เราจึงใส่รองเท้าตามที่พ่อแม่เลือกให้ว่าใส่แล้วน่ารัก

    พอเติบโตขึ้นหน่อย จังหวะที่พ่อแม่กำลังจะปล่อยให้เลือกรองเท้าด้วยตัวเอง เราก็ต้องเซ็งเมื่อโรงเรียนบังคับให้ใส่รองเท้าผ้าใบสีดำกับชุดนักเรียนสีขาว และรองเท้าผ้าใบสีน้ำตาลกับชุดลูกเสือ ไม่เปิดโอกาสให้ทดลองสร้างสรรค์ แม้กระทั่งการสลับรองเท้าขาวมาใส่กับชุดนักเรียนก็ถือว่าผิด! เป็นอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานจนกว่าจะเข้ามหาวิทยาลัย เรียกได้ว่ารองเท้านักเรียนเป็นอุปกรณ์ตบแต่งให้เราเดินอยู่ในกฎระเบียบ ไม่โย้เย้ออกนอกเส้นทางที่ผู้ใหญ่เขาวางไว้ เดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด เราจึงถนัดที่จะเดินตามมากกว่าเดินนำ และกลัวการล้มคะมำในการออกเดินไปในเส้นทางที่เราอยากเดิน

    การใส่รองเท้านักเรียนตามระเบียบนานเกินไป ทำให้เส้นรอบวงของความเป็นไปได้ในหัวใจหดแคบลง เราถนัดกับการเดินตามเส้นทางที่มีคนขีดให้มากกว่าจะเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ เอง

    รองเท้านักเรียนสีดำคู่นั้นทำให้เราคุ้นชินกับการเดินอยู่ในกรอบที่ปลอดภัยมากกว่าการเดินออกไปผจญภัยเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ โดยลืมไปว่า "ความเสี่ยง" เป็นอีกชื่อของ "โอกาส"

    แล้วก็มาถึงวันที่เราถอดรองเท้านักเรียนที่ใส่จนชิน เตรียมโผบินไปสู่อิสระแห่งการเลือกรองเท้าเพื่อก้าวย่างไปสู่เส้นทางที่เราเลือกเอง แต่แล้วเราก็พบว่าเส้นทางที่เราเดินไปนั้นไม่ได้สวยงามแต่อย่างใด มันก็เป็นเส้นทางที่ถูกขีดไว้ตามความคาดหวังของสังคมไม่ต่างจากที่เราได้เดินผ่านมา สังคมเต็มไปด้วยความคาดหวัง ทั้งจากคนใกล้ตัวและผู้คนที่รายล้อม

    ในวันที่ได้เลือกรองเท้าเอง ใครบ้างได้เลือกเส้นทางที่ตัวเองอยากเดิน หลายคนอยากใส่รองเท้าผ้าใบ แต่กลับไปใส่รองเท้าหนัง หลายคนอยากใส่รองเท้าสตั๊ด กลับต้องไปใส่รองเท้าบู๊ต..

ไม่มีรองเท้าคู่ใดดีกว่าคู่ใด แต่คงจะดีถ้าเจ้าของรองเท้าได้ยืนตระหง่านอยู่บนรองเท้าที่ตนเลือกเอง ไม่ได้ถูกคาดหวัง หรือกดดันให้ต้องทนใส่คู่นั้น

    ชีวิตเป็นเส้นทางยาว เราต้องเลือกรองเท้าให้ดี หากได้รองเท้าที่เหมาะกับเท้าเรา ทุกย่างก้าวคงเต็มไปด้วยความสุข ตรงกันข้าม หากต้องเดินทางไปไกลกับรองเท้าที่ใส่ไม่สบาย ใส่แล้วถูกกัดให้เจ็บแสบตลอดเวลา หรือใส่แล้วเดิน หรือทำอะไรไม่ถนัด ก็คงไม่มีความสุขไปตลอดทางเช่นกัน

    ลองก้มลงมองรองเท้าตัวเอง พิจารณาว่า มันเป็นรองเท้าที่เราอยากใส่หรือไม่ แล้วเส้นทางข้างหน้ายังทอดยาวไปอีกไกลแค่ไหน เราจะใส่มันต่อไป หรือเปลี่ยนใจไปใส่รองเท้าคู่อื่น แล้วออกเดินทางไปตามเส้นทางที่รออยู่ข้างหน้า การเดินทางจะมีความสุขแค่ไหน ถ้ารองเท้าที่เราอยากใส่กับรองเท้าที่เราใส่อยู่..

เป็นคู่เดียวกัน



Thanks by นิ้วกลม

คู่รักเปรียบเสมือนตะเกียบหรือช้อนส้อม

คู่รักเปรียบเสมือนตะเกียบหรือช้อนส้อม


ช้อน ส้อม
    หากใครสักคนจะใช้ตะเกียบ คงต้องวางเทียบกันดู จับมายืนคู่กันแล้วจับมันเคาะกับโต๊ะ เพื่อตรวจสอบว่าตะเกียบคู่นี้สูงเท่ากันไหม ถ้าไม่เท่ากันเรามักจะหยิบอันใหม่มาเข้าคู่กับอีกอันหนึ่งซึ่งถืออยู่ในมือ เลือกสรรไปมาจนกว่าจะได้ตะเกียบที่สูงเท่ากัน จะให้ดีกว่านั้นต้องเป็นคู่ที่เมื่อวางประกบกันแล้วไม่มีช่องว่างจากอาการโก่งงอของอันใดอันหนึ่ง คือประกบกันได้แนบสนิทชิดแน่น สามารถที่จะคีบแผ่นก๋วยเตี๋ยวเซี่ยงไฮ้ เส้นใหญ่ วุ้นเส้น บะหมี่ได้อย่างถนัดถนี่ไม่มีหลุดร่วง

ตะเกียบที่ดีควรจะมีหน้าตาที่ "เหมือนกัน"

    แต่นั่นมิใช่ลักษณะของช้อนส้อม ไม่เคยมีช้อนส้อมคู่ใดที่หน้าตาเหมือนกัน อันนั้นเป็นเรื่องที่แน่นอน เพราะขึ้นชื่อว่า "ช้อนส้อม" แต่ใช่ว่ามันจะเป็นสิ่งเดียวกันเสียเมื่อไหร่

ยังคงเป็น "ช้อน" ยังคงเป็น "ส้อม" อยู่ดังเดิม

    ช้อนมิได้พยายามทำตัวเป็นซี่ๆ ให้เหมือนส้อม เช่นเดียวกับที่ส้อมก็ไม่เคยฝนปลายแหลมแล้วทุบตัวเองให้แบนเป็นแผ่นเดียวเพื่อจะได้เหมือนช้อน

ช้อนก็เป็นตัวมัน ส้อมก็เป็นตัวเอง ความครื้นเครงจึงบังเกิด

    ในยามที่อยู่ไกลกันช้อนก็ใช้ชีวิตของมันไปตามปกติ คงมีบ้างที่มันคิดถึงส้อม "ถ้ามีส้อมเราคงทำอะไรได้ถนัดถนี่กว่านี้" แต่ถึงไม่มีก็ไม่เป็นไร ไม่ใช่ไม่ง้อ แต่ก็สามารถอยู่เดี่ยวๆ ตัวคนเดียวได้ดยไม่เปลี่ยวเหงา

    ฝ่ายส้อมก็เช่นกัน ในวันที้ไม่มีช้อน มันไม่เคยเกี่ยงงอนแต่อย่างใด ยังคงใช้ปลายแหลมหลายซี่ของมันจิ้มลงไปในใส้กรอก ลูกชิ้น ให้คนหยิบขึ้นมากินได้สบายๆ มีชีวิตได้อย่างอิสระและมีคุณค่า

    ใช่หรือไม่ว่า ทั้งช้อนและส้อมต่างก็มีคุณค่าในตัวเอง ช้อนก็มีคุณค่าในแบบช้อน ส้อมก็มีคุณค่าในแบบส้อม และเมื่อทั้งสองมาอยู่ด้วยกันก็มีคุณค่าใหม่เกิดขึ้นมา เป็นคุณค่าของการอยู่ร่วมกัน และใช้สอยเวลาด้วยกันอย่างน่ารัก

    ช้อนเองก็ลดบทบาทลง เอียงตัวเข้าหาส้อมเพื่อให้ส้อมดันอาหารเข้าใส่ช้อนได้สะดวก ส้อมเองก็ลดหน้าที่ของตัวเองลง เปลี่ยนมาจิ้มอาหารให้อยู่นิ่งเพื่อให้ช้อนได้ตักและตัดอาหารได้สะดวกขึ้น

ถ้อยทีถ้อยอาศัย ไม่ก้าวก่ายและไม่เรียกร้องให้อีกฝ่ายต้องเป็นเหมือนตัวเอง

    เคารพในความแตกต่าง เพราะความแตกต่างระหว่างช้อนกับส้อมนี่เองที่ทำให้เวลาที่ได้อยู่ด้วยกันมันมีความหมายมากขึ้น

น่าจะดีกว่าช้อนคู่กับช้อน หรือส้อมคู่กับส้อม เมื่อทั้งสองช่วยกันเติมเต็มในสิ่งที่อีกฝ่ายไม่มี

    ช้อนไม่มีปลายแหลมไม่มีซี่เอาไว้จิ้มชิ้นเนื้อ และเกี่ยวอาหารชนิดเส้นต่างๆ ขณะที่ส้อมเองก็ไม่สามารถตักน้ำแกงขึ้นมาซดได้ ส้อมจึงเบาใจเมื่อมีช้อน เช่นกันกับช้อนที่รู้สึกเหมือนกัน

    ความต่างที่อยู่คู่กันอย่างน่ารักของช้อนส้อม กระซิบบอกกับเราว่า คู่รักที่น่ารักก็น่าจะมีลักษณะคล้ายช้อนส้อมมากกว่าตะเกียบ

คือมิใช่คู่ที่เหมือนกันทุกรายละเอียด

    คิดเหมือนกัน รสนิยมเหมือนกัน ชอบอะไรคล้ายๆ กัน คู่รักไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้นเสมอไป

ที่สำคัญ คู่แบบนั้นไม่น่าจะมีอยู่จริง

    คนเราเกิดมาจากคนละที่ มีพ่อแม่คนละคน มีประสบการณ์ภูมิหลังคนละแบบ ย่อมยากที่จะเหมือนกันไปทุกกระเบียดนิ้ว คู่รักหลายคู่เลิกรากัน เพราะคนหนึ่งเรียกร้องให้อีกคนหนึ่งเป็นเหมือนตัวเอง

บางคู่เลิกราโดยให้เหตุผลว่า "เราต่างกันเกินไป"

    ต่างกันเกินไปย่อมเป็นเหตุผลที่ทำให้คนอยู่ด้วยกันแล้ว "ไม่สนุก" ในทางตรงกันข้าม เหมือนกันเกินไปก็ทำให้รู้สึก "เบื่อ" เพราะเหมือนส่องกระจกเห็นตัวเองอยู่ตลอดเวลา

    ความต่างที่พอเหมาะนั่นกระมังที่เป็นเหตุผลให้คน 2 คน ต้องมีกันและกัน และช่องว่างระหว่างความต่างนั้น ต้องอาศัยเวลาในการปรับตัว กว่าช้อนกับส้อมจะรู้จักหวะและวาดลีลาบนโต๊ะอาหารได้อย่างร่าเริงคล่องแคล่ว ย่อมต้องใช้เวลา แต่เมื่อเข้าขากันแล้วก็อยู่กันยาว

    มิใช่ว่าช้อนกับส้อมจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ช้อนส้อมที่ "เข้าคู่" กันย่อมมีวัสดุ ลวดลาย และด้ามจับลักษณะเดียวกัน

ในความต่างมีความเหมือน
ในความเหมือนก็มีความต่าง
สิ่งที่อยู่ตรงกลางคือความรัก

    ความรักคือการยอมรับความต่างของคนที่เรารัก และพยายามปรับตัวเองเข้าหากันและกัน โดยมิถือว่า "ตัวฉัน" เป็นใหญ่ เมื่อรักใครสักคน เราย่อมสละความเป็นตัวของตัวเองเพื่อเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้แสดงความเป็นตัวเขา เช่นกันกับที่เขายอมสละความเป็นตัวเองในบางคราว เพื่อให้เราได้เป็นตัวเองอย่างเต็มที่

รักคือการผลัดกันเสียสละในจังหวะทีพอดี

    ถ้าเสียสละมากไปเราก็อึดอัด หากเสียสละน้อยเกินไป อีกฝ่ายก็ลำบากใจ รักอยู่ตรงกลางระหว่างความแตกต่างนั้น และรักทำให้ "ช่องว่าง" แห่งความแตกต่างได้รับการเติมเต็ม

คู่รักจึงคล้ายช้อนส้อมมากกว่าตะเกียบ

    ทั้ง 2 คนจะมีรูปแบบชีวิต รสนิยม ความชอบ อะไรต่อมิอะไรเหมือนกันหรือไม่นั้น ยังไม่สำคัญเท่ากับ ทั้ง 2 คนต้องชอบกัน

    ใช่, "ชอบเหมือนกัน" ไม่สำคัญเท่า "ชอบกัน" เพราะเมื่อชอบกันแล้ว ทั้ง 2 ฝ่ายจะเรียนรู้และทำความเข้าใจในสิ่งที่ชอบไม่เหมือนกันอย่างค่อยเป็นค่อยไป

โดยอาศัยความรักเป็นสิ่งเติมเต็ม..



Thanks by นิ้วกลม

7 ข้อคิดในการค้นหาความรัก

7 ข้อคิดในการค้นหาความรัก


    สำหรับคนที่พยายามค้นฟ้าหาความรักแท้กับผู้ชายที่คุณสมบัติสุดเพอร์เฟ็คท์และคุณภาพคับแก้วแล้วล่ะก็ เราทราบกันดีว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มันก็คงไม่เกินความสามารถและพรหมลิขิตความรัก

1. อย่าตั้งสเป็คสูงเกินไป
ประมาณว่าหล่อระดับพระเอกซีรีย์เกาหลี ถ้าไม่ได้อย่างนี้จะยอมครองตัวเป็นโสดตลอดชีวิต และแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือเป็นเจ้าชายฝรั่งตาน้ำข้าวสุดหล่อตามหนังฝรั่ง ผู้ชายแนวเพอร์เฟ็คท์แบบนี้อาจไม่ได้มีจำนวนเพียงพอต่อความต้องการของผู้หญิงทั้งมวล

2. เปิดตัวเองบ้าง
ไม่ใช่ว่าอยากมีความรักแล้วขังตัวเองอยู่แต่ในบ้าน ไม่ได้ออกไป Socialze ข้างนอกบ้างเลย เจอเฉพาะผู้ชายหน้าเหียกๆ ที่ที่ทำงาน หรือไม่ก็เจอแค่ผู้ชายหน้าตาคุณภาพแค่ในจอทีวี

3. ระวังคนมีเจ้าของแล้ว
ผู้ชายที่มีครอบครัวแล้วถือว่าเป็นอันตรายสูงสุดประเภทที่ 1 ที่ผู้หญิงโสดอย่าเผลอตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย เพราะชั้นเชิงของเขามีมากมาย ความจัดเจนในการมีครอบครัวแล้วจะทำให้คุณหลงคารมเขาได้โดยง่าย คำพูดที่มักจะติดปากพวกผู้ชายภรรยาเผลอเหล่านี้ก็คือ "ภรรยาไม่เข้าใจเขา" หรือปากหวานชมคุณว่า "คุณเป็นผู้หญิงที่เข้าใจเขาที่สุด" เมื่อคุณฟังแล้วก็จะเคลิ้บเคลิ้มนึกว่าจริง ทำให้ผู้หญิงบางคนปล่อยใจกายและบางทีก็ทรัพย์สมบัติไปให้แก่ผู้ชายเหล่านี้มากนักต่อนัก

4. อย่าประเมินผู้ชายจากภายนอก
อย่าประเมินผู้ชายถ้ายังไม่รู้จักเขาจริงๆ แค่เห็นเขาอยู่ไกลๆ ก็หาว่าเขาขี้เก๊ก ไม่มีมนุษย์สัมพันธ์ หรือคิดไปเองแบบเห็นเขาขับเบนซ์ก็คิดว่าเขามีอันจะกินแน่ๆ ใครจะรู้ว่าถ้าหากได้คุยกับผู้ชายขี้เก๊กคนนั้น คุณอาจจะพบว่าเขาเป็นคนคุยสนุก แถมรั่วด้วย และใครจะรู้ว่าเบื้องหลังผู้ชายขับเบนซ์คนนั้น เขาอาจมีภาระหนี้สินท่วมหัวเอาตัวไม่รอดอยู่ก็เป็นได้ ผู้หญิงบางคนถือเรื่องลุคส์เป็นเรื่องสำคัญว่า ถ้าผู้ชายไม่หล่อ ไม่เท่ห์ตามสเป็คล่ะก็ ตัวเองไม่มีทางลดตัวลงไปคบให้เปลืองตัวหรอก แต่สิ่งที่สำคัญควรหันมาพิจารณาเรื่องนิสัยใจคอและทัศนคติการใช้ชีวิตรวมกันมากกว่า

5. สเป็คต้องอยู่บนพื้นฐานความเป็นไปได้
การตั้งสเป็คบางประการดูเหมือนเป็นการสร้างอุปสรรคให้แก่การมีความรักเป็นของตัวเอง หาได้สร้างโอกาสให้แก่ตัวเองไม่ แบบตั้งสเป็คว่าต้องเป็นฝรั่ง หรือขาวตี๋หน้าเกาหลีเท่านั้น แต่ชีวิตส่วนตัวเองกลับหลบอยู่แต่ในหลืบ นานทีปีหนจะออกมาได้เจอหนุ่มในสเป็คแบบนั้นสักครั้ง

6. ประเมินความเป็นไปได้ของตัวเอง
ถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในการกำหนดสเป็ค เพราะมันจะกำหนดถึงความเป็นไปได้หรือไม่ได้ของสเป็คที่ตัวเองวาดหวังเอาไว้ หากคุณเป็นผู้หญิงหน้าตาธรรมดา แต่สเป็คผู้ชายของคุณสูงส่งเกินหน้าตา มันก็พอเป็นไปได้..แต่ขอบอกคำเดียวว่า "ยากกก"

7. นิยามความสัมพันธ์ที่แตกต่าง
ผู้หญิงต้องการความรัก แต่ผู้ชายต้องการทำรัก เมื่อคิดถึงเรื่องของการมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งที่เรียกว่าเพศสัมพันธ์แล้ว ผู้หญิงจะนึกถึงความรักก่อน แต่ผู้ชายจะนึกถึงสถานที่ทำรักก่อน และเมื่อเกิดความสุขสมแล้วก็จะเกิดความอ่อนไหวในความรักของฝ่ายหญิง จงจำไว้เอาอย่างหนึ่งว่า ผู้ชายที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายจะยอมสยบให้กับผู้หญิงที่เข้าใจเขาเท่านั้น